วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

[รีวิว] Winchester คฤหาสน์ขังผี 2018

Winchester เรื่องจริงตำนานคฤหาสน์ผีสิง หนังผี บทดี นักแสดงนำมากฝีมือ จนน่าติดตาม

หนังผีไม่เคยห่างหายไปจากฮอลลีวู้ด และต่อให้ไม่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศแต่ก็ขายง่ายและได้รับความสนใจจากผู้ชมในบ้านเราเสมอ โดยเฉพาะหนังเกี่ยวกับคฤหาสน์ผีสิงแบบนี้ด้วย Winchester เป็นหนังที่อ้างอิงจากเรื่องจริงของคฤหาสน์วินเชสเตอร์ เป็นชื่อเดียวกับยี่ห้อปืนที่คุ้นหูหลายคนดี เพราะเป็นเจ้าของบริษัทผลิตปืนรายใหญ่ในอเมริกา เจ้าของคฤหาสน์คือ ซาราห์ วินเชสเตอร์ หญิงชราที่เก็บตัวเงียบในคฤหาสน์หลังมหึมานี้ ไปไหนมาไหนด้วยชุดดำและผ้าคลุมลูกไม้ปิดหน้าอยู่เสมอ มีภาพถ่ายจริงของซาราห์ตัวจริงเพียงภาพเดียว และถูกนำมาใช้ในการสร้างภาพลักษณ์ให้กับเฮเลน มิเรน ผู้รับบทเป็นเธอในเรื่องนี้



ซาราห์ วินเชสเตอร์ ในเรื่องนี้ถือหุ้นบริษัทวินเชสเตอร์อยู่ 51% และด้วยพฤติกรรมประหลาดที่ชอบเก็บตัวและรื้อบ้านสร้างบ้านอยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลว่าเธอสร้างบ้านตามคำสั่งผี ผู้ถือหุ้นจึงจ้างหมออีริค ไพรซ์ให้มาประเมินสภาพจิตของเธอ หวังว่าหมอจะประเมินว่าเธอไม่สมประกอบทางจิตและบังคับให้ถอนหุ้นออกจากบริษัทไปเสีย เรื่องราวหลักของเรื่องก็คือ ประสบการณ์หนึ่งสัปดาห์ของหมอในคฤหาสน์วินเชสเตอร์ที่ได้พบกับบรรดาภูติผีหลายตน และกิจวัตรอันสุดประหลาดของซาราห์ ก็คาดเดากันไปว่าสุดท้ายหมออีริค จะประเมินสภาพจิตของซาราห์ว่าปกติดีหรือไม่?

มองในมาตรฐานของหนังผี ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ ผีออกมาเยอะ และออกมาให้ลุ้นกันตั้งแต่ต้นเรื่อง ฉากตุ้งแช่ถี่มาก แต่ส่วนใหญ่จะตกใจจากเสียงซาวนด์เอฟเฟ็คต์เสียมากกว่าตกใจกับการปรากฏตัวของผี ซึ่งต้องบอกเลยว่าผีไม่ค่อยน่ากลัวนัก ยิ่งท้ายเรื่องออกมาเดินเล่นให้เห็นกันชัด ๆ ไป ส่วนที่อ่อนด้อยไปอย่างเห็นได้ชัดคือการดึงความน่ากลัวของคฤหาสน์วินเชสเตอร์ออกมาไม่ได้ ทั้งที่คฤหาสน์นี้เปรียบเสมือนหัวใจของเรื่อง  ผลก็คือเราเห็นสภาพภายนอกของคฤหาสน์ที่กว้างขวางซับซ้อน แต่ตลอดเรื่องเราได้เห็นอยู่แค่บริเวณย่อย ๆ ของคฤหาสน์เท่านั้น และสภาพมุมกว้างภายนอกก็ดูสวยงามน่าสนใจเสียมากกว่าน่ากลัว และน่าจะทำหน้าที่ปูบรรยากาศสยองก่อนพาคนดูลงลึกไปกับเนื้อหา พี่น้องสเปียริก สร้างชื่อมาจาก หนังเล็กอย่าง Predestination (2014) และ โดดมาทำหนังสยองขวัญเลือดท่วม Jigsaw เมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ยังดูโอเคอยู่ แต่พอมาถึง Winchester ก็ต้องบอกเลยว่าพี่น้องสเปียริกยังไม่ชำนาญนักกับการเล่นกับจังหวะจะโคนของหนังผี ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับ Annabelle Creation ที่มีธีมของความเป็นหนังบ้านผีเช่นกันแต่ก็ทำได้ชวนลุ้นกว่าหลายเท่านัก




จุดที่ดีของ Winchester คือการได้ยอดฝีมือ เฮเลน มิเรน มาช่วยพยุงหนังไว้ ให้มีความน่าดูตั้งแต่การปรากฏตัวของป้า บุคลิกภาพลักษณ์ของเฮเลนดูเข้าตากับมาดเศรษฐินีจอมลึกลับ นับว่าเป็นคุณยายวัย 73 ที่ยังดูดีอยู่มาก ส่วนเจสัน คลาร์ค ในบทคุณหมออีริค ไพรซ์ เป็นบทที่เสมอตัวไม่ค่อยมีอะไรให้ชื่นชมนัก ด้วยมาดคนกล้าไม่ค่อยกลัวผี เวลาโดนผีหลอกก็เลยไม่ดูน่าสงสารและไม่ชวนให้ลุ้นตามนัก และแน่นอนที่ว่าหนังต้องดำเนินตามกฏเหล็กของหนังผี คือตัวละครต้องมีความเผือกในตัวสูง หมออีริคก็ดำเนินตามกฏนั้นด้วยการออกมาเดินเล่นในคฤหาสน์ตอนเที่ยงคืน แล้วก็ต้องเจอดีเข้าจนได้ ดารานำอีกคนก็คือ ซาราห์ สนุ้ก ดาราขาประจำของผู้กำกับสเปียริกก็ตามมารับบทเป็น เมเรียน แมเรียต หลานสาวของคุณป้าซาราห์ ที่ปูมาเหมือนว่าจะกุมความลับอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เปล่า


ส่วนดีอีกอย่างคือลูกเล่นของบท ที่ผูกเรื่องราวในอดีตของหมออีริค ไพรซ์ กับความลึกลับของคฤหาสน์วินเชสเตอร์แล้วมาเผยในช่วงท้าย การปูคุณลักษณ์เฉพาะตนของหมอที่ทำให้มีความสามารถพิเศษในการกำราบผีก็ดูน่าสนใจ การล่อหลอกของผีตัวร้ายสุดของเรื่องที่เผยตัวตนมาได้เซอร์ไพรส์นิด ๆ หลาย ๆ ประเด็นที่อยู่ในบทถือว่าผูกปมและคลี่ออกได้อย่างสวยงาม และช่วยชดเชยความน่ากลัวที่ค่อนข้างหย่อนไปสักนิด  สำหรับหนังผีที่ตัวอย่างสร้างความคาดหวังไว้ค่อนข้างมาก และผีหลาย ๆ ตัวที่ปล่อยมาเรี่ยราดแต่สุดท้ายไม่ได้เฉลยที่ไปที่มา ผลก็ออกมาเป็นหนังผีที่ชวนให้ปิดตาลุ้นเก้อไปเสียมาก ยังดีที่ไคลแมกซ์ท้ายที่ลากกันยาว ๆ พอให้ชวนลุ้นไปสะดุ้งไปกับหนังได้ ส่วนดีที่สุดในบทหนังก็คือการปูพื้นหลังตัวละครทั้งคนทั้งผีแล้วนำมาใช้ประโยชน์ได้ดีในบทสรุปของหนัง

สรุปได้ว่า Winchester เป็นหนังผีที่มีบทภาพยนตร์ในเกณฑ์ดี ช่วยยกระดับเรื่องราวได้น่าสนใจ แต่ในด้านความเป็นหนังผี ความน่ากลัวฉากลุ้นยังด้อยกว่ามาตรฐานหนังผีด้วยกันในยุคหลัง อย่าคาดหวังมาก ดูฆ่าเวลาได้ไม่ถึงกับเสียดายตังค์ พลาดไปก็ไม่น่าเสียดาย



ขอบคุณข้อมูล และ รูปภาพจาก movie.kapook.com, beartai.com, google.co.th/search?q=Winchester+(2018)+%E0%B8%84%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B5+%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7&client=firefox-b-ab&dcr=0&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwirxoyHvMXZAhVH6Y8KHRcMBAEQ_AUICigB&biw=1920&bih=943#imgrc=lJBapNNlJ5A7wM:

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

รีวิว “Before We Vanish” หนังดราม่ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก

หนังดราม่าออนไลน์ เรื่อง Before We Vanish

ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “คิโยชิ คุโรซาวะ” (จาก Tokyo Sonata, Creepy) หนังดราม่าที่ว่าด้วยเอเลี่ยนบุกโลก ที่เพิ่งไปฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีที่ผ่านมา กับพล็อตเรื่องชวนเหวอที่ดัดแปลงจากละครเวที
 
 
“Before We Vanish” เล่าเรื่องของ “นารุมิ” (รับบทโดย มาซามิ นากาซาวะ) ที่ระหองระแหงกับสามี “ชินจิ” (รับบทโดย ริวเฮ มัตซึดะ) วันหนึ่งที่ชินจิหายตัวไป และกลับมาพร้อมท่าทีที่สงบเงียบกว่าเดิมเหมือนคนละคน ในห่วงเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุฆาตกรรมยกครัวสุดโหดซึ่งไม่สามารถอธิบายวิธีการได้ ก่อนที่ชินจิจะบอกกับภรรยาว่า เขาคือผู้มาจากนอกโลก


“Before We Vanish” เล่าเรื่องด้วยวิธีหลากหลาย และต่างไปจากขนบการเล่าเรื่องแบบเดิมๆ ของหนังญี่ปุ่น และได้เข้าประกวดสาย Un certain regard (ภาพยนตร์น่าจับตา) จากเทศกาลหนังเมืองคานส์อีกด้วย และด้วยหน้าหนังที่ดูราวกับเป็นหนังของ “จอห์น คาร์เพ็นเตอร์” หรือหนังว่าด้วยสงครามเย็นทุนสร้างต่ำปี 1950


เมื่อมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวเด็กสาวมัธยม, สามีจอมเจ้าชู้ กับชายหนุ่มสันหลังยาวคนหนึ่งมากักตัวไว้เพื่อทำความเข้าใจกับวิธีคิดและหาทางล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ด้วยการดาวน์โหลดข้อมูลวิธีคิดของแต่ละคนอย่าง “ครอบครัว”, “การงาน” จากสมองของเหยื่อ หนังมีความคล้ายคลึงกับงานเรื่องก่อนของเขาอย่าง “Charisma” (1999) แต่น่าเสียดายที่ตัว “คุโรซาวะ” เองไม่ชัดเจนในงานมากพอจนดูจะหลงทางในการเล่าเรื่องไปในที่สุด 


ขอบคุณข้อมูลรูปภาพจาก https://www.google.co.th/search?client=firefox-b-ab&dcr=0&tbm=isch&sa=1&ei=Z92MWtL8HIH90gS65rewBA&q=Before+We+Vanish+poster&oq=Before+We+Vanish+poster&gs_l=psy-ab.3..0i19k1.15414.18313.0.19744.3.3.0.0.0.0.173.450.0j3.3.0....0...1c.2.64.psy-ab..0.3.450....0.euVRMIv-nI0#imgrc=vxMgPw86DaWcsM:

วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

[รีวิว] Fifty Shades Freed 2018


ความโรแมนติก อีโรติก จัดเต็ม กับ Fifty Shades Freed

รีวิว Fifty Shades Freed 2018
รีวิว Fifty Shades Freed 2018

เดินทางมาถึงภาคสุดท้ายกันแล้ว สำหรับหนังแฟรนไชส์สุดร้อนแรงแห่งยุค Fifty Shades Freed ที่ยังได้ผู้กำกับคนเดิมจากภาค 2 James Foley มากำกับ และได้คู่พระ-นางที่เคมีสุดแสนจะเข้ากันอย่าง Dakota Johnson และ Jamie Dornan มาเสิร์ฟความฟินให้แฟนๆ ได้รับชมเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเลิฟซีนชุดใหญ่

Fifty Shades Freed ว่าด้วยเรื่องราวของ แอนัสเตเซีย สตีล และ คริสเตียน เกรย์ เข้าสู่ประตูวิวาห์แล้วและมีการฮันนีมูนที่ยุโรป แล้วชีวิตของพวกเขาก็กลับเข้าสู่ความดำมืดอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างก็กลับมามีชีวิตที่มีเซ็กซ์แบบพิสดารเหมือนเดิม แต่ชีวิตกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ดูเหมือนจะมีตัวร้ายมาป่วนชีวิตของคู่แต่งงานใหม่ ซึ่งอาจจะเป็น แจ็ก ไฮด์ เจ้านายเก่าของเธอ ไม่แน่ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจเป็นฝีมือของเขา

แน่นอนว่าในภาคนี้เป็นเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้วที่จบด้วย คริสเตียน เกรย์ ขอแต่งงานกับ แอนัสเตเซีย สตีล ภาคนี้ก็เปิดฉากมาด้วยงานแต่งงานสุดโรแมนติกของทั้งคู่ที่ดูเหมือนชีวิตรักจะมีความสุขดี เห็นแล้วน่าอิจฉามาก เรียกว่า มิสเตอร์เกรย์ เป็นพ่อบุญทุ่มที่แท้ทรู แต่เรื่องราวก็ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะยังมีตัวร้ายอย่างเจ้านายเก่าของแอนาที่ตามรังควาน อีกทั้งชีวิตรักของทั้งคู่ก็ดูจะมีปัญหาขึ้นมากอีก เหมือนกับที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่เป็นเรื่องที่นายท่านเกรย์กลับรับไม่ได้ซะงั้น


รีวิว Fifty Shades Freed 2018

เรียกว่าเนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก ปมต่างๆ ที่ถูกผูกติดกับพระเอกของเราก็ดูเหมือนจะทยอยหายไปบ้างแล้วจากภาคก่อนๆ แต่ก็ไม่กระจ่างเท่าที่ควร ตัดจบไปแบบงงๆ ทั้งที่มีประเด็นให้เล่นมากกว่านี้ แต่ก็อย่างที่บอกจุดประสงค์ของหนังก็เพื่อตอบสนองความต้องการของแฟนๆ ส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าอยากจะเห็นฉากเลิฟซีนกันมากกว่า

และน่าจะถูกแฟนๆ ที่ชอบหนังโรแมนติกปนอีโรติก เพราะจัดฉากเลิฟซีนเยอะมาก ถี่มาก และมีเกือบทุก 5 นาที เรียกว่าจัดกันทุกพื้นที่ ทั้งบนเตียง บนรถ บนโต๊ะ และในอ่าง เสิร์ฟความฟินอย่างจุใจ ถามว่ามีความรุนแรงมากขึ้นไหม? ก็ไม่ แต่เน้นไปที่อุปกรณ์ ลีลา และสถานที่มากกว่า บอกเลยว่าฟินสุดๆ และที่สำคัญนางเอกของเราก็มีความกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ


รีวิว Fifty Shades Freed 2018


หลังจากที่ดูครบมาทั้ง 3 ภาค บอกเลยว่าภาคแรกดีสุด เพราะเหมือนจะมีอะไรให้ค้นหา แต่พอมาภาค 2 เปลี่ยนผู้กำกับเป็นผู้ชายก็เหมือนจะขาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไป แต่ก็ถือว่าตัดแต่ละฉากออกมาได้กระชับดี และเร็วไปในบางฉากแน่นอนว่าสิ่งที่ดีที่สุดอีกอย่างของหนังก็คือโปรดักชั่นดี มีฉากบู๊นิดหน่อยพอได้หอมปากหอมคอ

ในภาคสุดท้ายนี้ได้เน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ คงไม่ต้องบอกว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร ต้องไปดูกันเอาเอง เรียกว่าเป็นการปิดฉากหนังไตรภาคที่ไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะมีปมหลายอย่างที่ยังไม่คลี่คลาย ตัดจบหายไปเลย เอาเป็นว่าดูเพื่อความฟินจะดีสุด อย่าไปหาความสมเหตุสมผลให้มากนัก จะทำให้น่าเบื่อเปล่าๆ เอาเป็นว่าใครที่ดูมา 2 ภาคแล้วก็ควรจะเก็บให้ครบทั้ง 3 ภาค จะได้ไม่ค้างคา อย่าพลาด หนังใหม่ ฟิฟตี้ เชดส์ ฟรีด


 

ขอบคุณข้อมูลจาก MThai Movie