วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

[รีวิว] Fifty Shades Freed 2018


ความโรแมนติก อีโรติก จัดเต็ม กับ Fifty Shades Freed

รีวิว Fifty Shades Freed 2018
รีวิว Fifty Shades Freed 2018

เดินทางมาถึงภาคสุดท้ายกันแล้ว สำหรับหนังแฟรนไชส์สุดร้อนแรงแห่งยุค Fifty Shades Freed ที่ยังได้ผู้กำกับคนเดิมจากภาค 2 James Foley มากำกับ และได้คู่พระ-นางที่เคมีสุดแสนจะเข้ากันอย่าง Dakota Johnson และ Jamie Dornan มาเสิร์ฟความฟินให้แฟนๆ ได้รับชมเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเลิฟซีนชุดใหญ่

Fifty Shades Freed ว่าด้วยเรื่องราวของ แอนัสเตเซีย สตีล และ คริสเตียน เกรย์ เข้าสู่ประตูวิวาห์แล้วและมีการฮันนีมูนที่ยุโรป แล้วชีวิตของพวกเขาก็กลับเข้าสู่ความดำมืดอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างก็กลับมามีชีวิตที่มีเซ็กซ์แบบพิสดารเหมือนเดิม แต่ชีวิตกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ดูเหมือนจะมีตัวร้ายมาป่วนชีวิตของคู่แต่งงานใหม่ ซึ่งอาจจะเป็น แจ็ก ไฮด์ เจ้านายเก่าของเธอ ไม่แน่ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจเป็นฝีมือของเขา

แน่นอนว่าในภาคนี้เป็นเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้วที่จบด้วย คริสเตียน เกรย์ ขอแต่งงานกับ แอนัสเตเซีย สตีล ภาคนี้ก็เปิดฉากมาด้วยงานแต่งงานสุดโรแมนติกของทั้งคู่ที่ดูเหมือนชีวิตรักจะมีความสุขดี เห็นแล้วน่าอิจฉามาก เรียกว่า มิสเตอร์เกรย์ เป็นพ่อบุญทุ่มที่แท้ทรู แต่เรื่องราวก็ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะยังมีตัวร้ายอย่างเจ้านายเก่าของแอนาที่ตามรังควาน อีกทั้งชีวิตรักของทั้งคู่ก็ดูจะมีปัญหาขึ้นมากอีก เหมือนกับที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่เป็นเรื่องที่นายท่านเกรย์กลับรับไม่ได้ซะงั้น


รีวิว Fifty Shades Freed 2018

เรียกว่าเนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก ปมต่างๆ ที่ถูกผูกติดกับพระเอกของเราก็ดูเหมือนจะทยอยหายไปบ้างแล้วจากภาคก่อนๆ แต่ก็ไม่กระจ่างเท่าที่ควร ตัดจบไปแบบงงๆ ทั้งที่มีประเด็นให้เล่นมากกว่านี้ แต่ก็อย่างที่บอกจุดประสงค์ของหนังก็เพื่อตอบสนองความต้องการของแฟนๆ ส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าอยากจะเห็นฉากเลิฟซีนกันมากกว่า

และน่าจะถูกแฟนๆ ที่ชอบหนังโรแมนติกปนอีโรติก เพราะจัดฉากเลิฟซีนเยอะมาก ถี่มาก และมีเกือบทุก 5 นาที เรียกว่าจัดกันทุกพื้นที่ ทั้งบนเตียง บนรถ บนโต๊ะ และในอ่าง เสิร์ฟความฟินอย่างจุใจ ถามว่ามีความรุนแรงมากขึ้นไหม? ก็ไม่ แต่เน้นไปที่อุปกรณ์ ลีลา และสถานที่มากกว่า บอกเลยว่าฟินสุดๆ และที่สำคัญนางเอกของเราก็มีความกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ


รีวิว Fifty Shades Freed 2018


หลังจากที่ดูครบมาทั้ง 3 ภาค บอกเลยว่าภาคแรกดีสุด เพราะเหมือนจะมีอะไรให้ค้นหา แต่พอมาภาค 2 เปลี่ยนผู้กำกับเป็นผู้ชายก็เหมือนจะขาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไป แต่ก็ถือว่าตัดแต่ละฉากออกมาได้กระชับดี และเร็วไปในบางฉากแน่นอนว่าสิ่งที่ดีที่สุดอีกอย่างของหนังก็คือโปรดักชั่นดี มีฉากบู๊นิดหน่อยพอได้หอมปากหอมคอ

ในภาคสุดท้ายนี้ได้เน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ คงไม่ต้องบอกว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร ต้องไปดูกันเอาเอง เรียกว่าเป็นการปิดฉากหนังไตรภาคที่ไม่ทำให้ผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะมีปมหลายอย่างที่ยังไม่คลี่คลาย ตัดจบหายไปเลย เอาเป็นว่าดูเพื่อความฟินจะดีสุด อย่าไปหาความสมเหตุสมผลให้มากนัก จะทำให้น่าเบื่อเปล่าๆ เอาเป็นว่าใครที่ดูมา 2 ภาคแล้วก็ควรจะเก็บให้ครบทั้ง 3 ภาค จะได้ไม่ค้างคา อย่าพลาด หนังใหม่ ฟิฟตี้ เชดส์ ฟรีด


 

ขอบคุณข้อมูลจาก MThai Movie

ไม่มีความคิดเห็น: